วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556




การเรียงตัวของอนุภาคของแข็ง





     แหล่งอ้างอิง   http://www.thaiteachers.tv/vdo2.php?id=3347
     สืบค้นวันที่่  24 ก.พ 56



ครูมัธยมศึกษา  เคล็ดลับการเอาตัวรอด



   แหล่งอ้างอิง   http://www.thaiteachers.tv/vdo2.php?id=3347
   สืบค้นวันที่  24 ก.พ 56

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


                      Tablet (แท็บเล็ต)

Tablet (แท็บเล็ต) คืออะไร ?

   หลายคนที่ไม่เคยได้ยินคงสงสัยว่าเจ้า Tablet (แท็บเล็ต) มันคืออะไรแล้วหมายความว่าอย่างไร
ลองมาดูความเห็นจากหลายๆฝ่ายกันว่าคำจำกัดความ Tablet (แท็บเล็ต) นั้น  หมายถึงอะไร
Tablet ถ้าแปลใน translate.google.co.th จะมีความหมายว่า
ยาเม็ด,สมุดบันทึก,ป้าย,แผ่นจารึก,สมุดแฟ้ม,สมุดฉีก
ซึ่งจากความหมายนั้นไม่มีคำไหนบอกเลยว่า Tablet (แท็บเล็ต) เป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์ไฟฟ้า เพียงแต่มีความหมายใกล้เคียงกับ สมุดบันทึก เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้ว Tablet (แท็บเล็ต) มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก" นั้นก็หมายความว่า คำว่า  Tablet (แท็บเล็ต)  เป็นคำที่ถูกประยุกต์ใหม่ให้มีความหมายที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม เช่น สมุดบันทึก,ป้าย,แผ่นจารึก,สมุดแฟ้ม,สมุดฉีก
http://upic.me/i/mq/tabletold.jpg
ที่มาของภาพ Sumerian clay tablet


แท็บเล็ต พีซี – Tablet PC (Tablet personal computer) หรือ Tablet (แท็บเล็ต)
http://upic.me/i/8f/tabletpc.jpghttp://upic.me/i/yn/tabletcomputer.jpg

      "แท็บเล็ต พีซี"  นั้นก็คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2001 (ทาง Microsoft ได้ทำการเปิดตัว Microsoft Tablet PC) แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปและไม่เป็นที่นิยมมากนัก "แท็บเล็ต พีซี" (tablet PC) ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (laptops) ตรงที่อาจจะไม่มีแป้นพิมพ์ (keyboard) ในการใช้งาน แต่อาจจะใช้แป้นพิมพ์เสมือนจริงในการใช้งานแทน (มีแป้นพิมพ์ปรากฎบนหน้าจอใช้การสัมผัสในการพิมพ์) tablet PC ทุกเครื่องจะมีอุปกรณ์ไร้สายสำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายใน

          ความหมายคำว่า Tablet (แท็บเล็ต) ในมุมมองของ คุณ เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ จาก gotomanager.com กล่าวไว้ว่า
        Tablet คืออะไร Tablet คือความ พยายามครั้งล่าสุดของ Microsoft ที่หมาย มั่นปั้นมือจะจัดระเบียบส่วนแบ่งตลาด ซอฟต์แวร์ที่ใช้ใน PC ใหม่อีกครั้ง ความ จริงแล้ว tablet หาได้เป็นเรื่องใหม่ถอด ด้ามแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่ในใจกระทั่ง อยู่ในแผนธุรกิจของบรรดาผู้นำในแวดวง คอมพิวเตอร์ที่มีสายตายาวไกลมาหลาย สิบปีแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถจะไปถึง ดวงดาวทำให้ประชาชนนิยมได้เท่านั้นเอง
Tablet PC ก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สามารถใช้ปากกาเขียนลงไปบนหน้าจอ ได้เลยนั่นเอง โดยจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่ พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในเครื่อง แบบนี้โดยเฉพาะ จากมันสมองของบรรดา อัจฉริยะใน Mount Redmond (ส่วนตัว เครื่องก็จะผลิตและทำตลาดโดยบรรดา ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เจ้าเก่าทั้งหลายในวงการ PC ตามธรรมเนียม) Tablet PC มีกำหนด จะวางตลาดในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ใน ราคาระหว่าง 2,000-3,000 ดอลลาร์ และมี เป้าหมายมิใช่แค่เพียงอุปกรณ์เสริมสำหรับ เครื่อง laptop ที่คุณใช้อยู่ หากแต่ทะเยอ ทะยานถึงขั้นจะมาแทนที่ laptop กันเลย
ต่อไปนี้คุณจะไปไหนมาไหนพร้อม กับเจ้า Tablet ไม่ว่าจะไปประชุม ใช้จด บันทึกสิ่งต่างๆ เข้าอินเทอร์เน็ต และแม้ กระทั่งใช้วาดอะไรเล่นเรื่อยเปื่อยระหว่าง การประชุมอันน่าเบื่อ ขณะที่ยังคงสามารถ สบตากับคนอื่นๆ ในห้องประชุมได้อย่าง ไม่มีใครจับได้ว่าคุณกำลังเซ็งสุดขีด
ความพยายามครั้งก่อนๆ ของการ พัฒนาเครื่องแบบ Tablet ต้องพบกับ ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะตัว เครื่องใหญ่เทอะทะเกินกว่าจะพกพาสะดวก ความสามารถจำกัด และรับรู้ลายมือของ คนเขียนได้ไม่ดี แม้เครื่อง Tablet PC ที่ได้ Microsoft มาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เที่ยวนี้ จะปรับปรุงความสามารถในการรับรู้ลายมือ ของเจ้าของ และแปรสิ่งที่เจ้าของจดไว้บน หน้าจอด้วยลายมือให้กลายเป็น text สำหรับเก็บในเครื่องได้ดีขึ้น
แต่นั่นกลับไม่ใช่สาระสำคัญของ PC สายพันธุ์ใหม่เครื่องนี้ ที่ Gates เชื่อ มั่นอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถพิชิต laptop ได้ นับเป็นความฉลาดอย่างที่สุดของ Microsoft ที่ตัดสินใจเลือกเน้นคิดค้นพัฒนา เรื่องหมึกดิจิตอล (digital ink) แทนที่จะไปเน้นเรื่องการตีความลายมือ ด้วยนวัต-กรรมหมึกดิจิตอล สิ่งที่คุณเขียนลงบน หน้าจอเครื่อง Tablet จะถูกเก็บบันทึกไว้ เหมือนเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน (ด้วยการ ใช้โปรแกรม notepad ที่พัฒนาขึ้นมา เป็นพิเศษสำหรับ Tablet โดยเฉพาะ ชื่อ โปรแกรม "Journal")
กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ เครื่อง Tablet จะยังคงเป็นลายมือของคุณ ทุกตัวอักษร ราวกับคุณได้จดบันทึกลงบน กระดาษธรรมดายังไงยังงั้น ใช่แต่เท่านั้น คุณยังสามารถจะขีดฆ่าคำที่คุณเขียนผิด หรือไม่ต้องการด้วยปากกาดิจิตอลได้อีกด้วย สะดวกง่ายดายเหมือนๆ กับที่คุณทำกับ การเขียนบนกระดาษ แต่ดีกว่าตรงที่คำ หรือแม้แต่ทั้งบรรทัดที่คุณขีดฆ่าบนหน้าจอ Tablet จะอันตรธานหายไปในพริบตา อย่างน่าอัศจรรย์ ลูกเล่นของ Tablet ยังมี อีกแพรวพราว เช่น feature หนึ่งทำให้คุณ สามารถย้ายข้อความไปที่ไหนก็ได้บนหน้าจอ ได้อย่างรวดเร็ว (ข่าวดีอีกอย่างคือ Tablet สามารถรับรู้ลายมือของผู้ที่ถนัดซ้ายได้อย่าง แม่นยำอีกด้วย)
หมึกดิจิตอลยังจะเป็นเครื่องมือ สำคัญที่จะทำให้คุณใช้ tablet ในการส่ง อีเมล ได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้นอย่างมาก เพราะไม่ต้องพิมพ์แต่ใช้เขียนแทน ในการ ประชุมสุดยอดบรรดา CEO ของ Micro soft เมื่อเร็วๆ นี้ ทุกคนได้รับ Tablet เป็น อุปกรณ์ประชุม พวกเขาแอบเขียนอีเมล ด้วยปากกาดิจิตอลส่งถึงกันอย่างสนุกสนาน เหมือนกับเป็นเด็ก ป.4 ซนๆ กลุ่มหนึ่งที่ได้ ของเล่นชิ้นใหม่ถูกใจ
Microsoft โชคดีมากที่เปิดตัว ซอฟต์แวร์ tablet ในช่วงที่เทคโนโลยี Wi-Fi กำลังบูมพอดี Wi-Fi คือเทคโนโลยีต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับอินเทอร์เน็ตแบบ ไร้สายราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่ทุกเวอร์ชั่นของ Tablet ล้วนแต่ติดตั้ง Wi-Fi ในตัวมาพร้อมกับตัวเครื่อง เพราะการใช้ Tablet แบบไม่ไร้สายคงจะอึดอัด พิลึกเหมือนกับไปไหนมาไหนโดยมีโซ่ล่าม
บริษัทคอมพิวเตอร์เจ้าเก่าทั้ง 9 แห่ง ซึ่งต่างวางแผนจะวางตลาดเครื่อง Tablet ของตนปลายปีนี้ ต่างก็มีจุดเด่นของเครื่อง ที่แตกต่างกัน บางค่ายออกมาเป็นเครื่อง laptop ที่สามารถปรับเป็น Tablet ได้ โดย หน้าจอของมันสามารถเคลื่อนไปด้านหลัง ได้จนพลิกกลับมาเป็นแบบ tablet เพียง เท่านี้ก็ทำให้ laptop สามารถแปลงโฉม กลายเป็น Tablet ได้ในพริบตา Acer TravelMate ก็คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด ในกรณีนี้
บางค่ายทำ Tablet ออกมาแบบ ให้ต่อแป้นคีย์บอร์ดได้โดยผ่านพอร์ต USB หรือเทคโนโลยี docking station หรือ docking system (เป็นตู้ที่รวมอุปกรณ์ เสริมต่างๆ เช่น เครื่องอ่านซีดีรอม, เครื่อง พิมพ์ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา สามารถมาต่อเชื่อมใช้งานอุปกรณ์เสริม เหล่านั้นได้) ส่วน tablet ที่อาจจะออกแบบ ได้น่าสนใจที่สุดอาจเป็นแบบที่มีหน้าจอกว้าง และแบนเป็นพิเศษ ที่สร้างสรรค์โดยบริษัท น้องใหม่ในวงการอย่าง Motion Computing
ตอนนี้คุณก็ได้รู้จัก Tablet แล้ว นั่นทำให้คุณเปลี่ยนแผนที่จะซื้อ laptop ปลายปีนี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า Tablet ที่จะออกมาชิมลางในปีนี้ เป็นเพียง เวอร์ชั่นแรกในหลายๆ เวอร์ชั่นที่จะออก ตามมาเท่านั้น ซึ่งคุณสามารถคาดหวังได้ เลยว่า เวอร์ชั่นรุ่นหลังจากนี้คงจะมีน้ำหนัก เครื่องเบาลง อายุการใช้งานแบตเตอรี่นาน ขึ้น และมีหน้าจอที่มีความคมชัดสูงกว่า (ยังไม่ต้องพูดถึงการที่จะต้องเจอกับ bug แน่ๆ ในเครื่องที่เปิดตัวครั้งแรก) และแน่นอนราคาก็คงจะถูกลงเรื่อยๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับซอฟต์แวร์ tablet เวอร์ชั่นแรกนี้ Microsoft ออกแบบ มาสำหรับนักธุรกิจโดยเฉพาะ และรวม ถึงผู้ที่เหมาะจะใช้ Tablet ได้อย่างคุ้มค่า ที่สุด ซึ่งทาง Microsoft จะเขียนโปรแกรม application พิเศษขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ (คนกลุ่มนี้ก็ได้แก่ แพทย์ พนักงานเคลมประกันให้ลูกค้า และแน่นอน นักข่าว)
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่วงนอก ก็อาจจะต้องร้องเพลงรอไปก่อนจะได้สัมผัส Tablet สายพันธุ์ใหม่ของ PC
*ที่มาบทความ gotomanager.com

       ความหมายคำว่า Tablet (แท็บเล็ต) ในมุมมองของ คุณ isack เว็บไซต์ http://www.tabletd.com กล่าวไว้ว่า
       Tablet (แท็บเล็ต) คือ "คอมพิวเตอร์พกพาหรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางที่มีหน้าจอแบบสัมผัสในการใช้งานเป็นหลัก"
ซึ่ง คุณ isack ได้สรุปความหมายและความเป็นมาไว้ดังนี้
หลายๆคนพอพูดถึง "แท็บเล็ต - Tablet" แล้วอาจจะงงว่ามันคืออะไร ?? แต่ถ้าพูดว่า iPad, Samsung Galaxy Tab แล้วล่ะก็ต้องร้อง อ๋อ กันแน่นอนซึ่ง iPad และ Samsung Galaxy Tab นั้นจริงๆแล้วเป็นเพียงแค่ชื่อรุ่นเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วตัวเครื่องเหล่านี้จะเรียกกันว่า "แท็บเล็ต - Tablet"
"แท็บเล็ต - Tablet" ในความหมายแท้จริงแล้วก็คือแผ่นจารึกที่เอาไว้บันทึกข้อความต่างๆโดยการเขียน (อาจจะเป็นกระดาษ, ดิน, ขี้ผื้ง, ไม้) และมีการใช้กันมานานแล้วในอดีต แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาแทนที่ซึ่งมีหลายบริษัทได้ให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป หลักๆแล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet Personal Computer)" และ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet"
แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)
"แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากทาง Microsoft ได้ทำการเปิดตัว Microsoft Tablet PC ในปี 2001 แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปและไม่เป็นที่นิยมมากนัก
"แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ Laptops ตรงที่อาจจะไม่มีแป้นพิมพ์ในการใช้งาน แต่อาจจะใช้แป้นพิมพ์เสมือนจริงในการใช้งานแทน (มีแป้นพิมพ์ปรากฎบนหน้าจอใช้การสัมผัสในการพิมพ์) "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ทุกเครื่องจะมีอุปกรณ์ไร้สายสำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายใน
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือ แท็บเล็ต - Tablet
"แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม" 
ซึ่งทางบริษัท Apple ผู้ผลิต "ไอแพด - iPad" ได้เรียกอุปกรณ์ของตัวเองว่าเป็น "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" เครื่องแรก
ความแตกต่างระหว่าง "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet computer" และ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC"
เริ่มแรก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" จะใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86 ของ Intel เป็นพื้นฐานและมีการปรับแต่งนำเอาระบบปฏิบัติการหรือ OS ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ Personal Computer - PC มาทำให้สามารถใช้การสัมผัสในการทำงานได้ ตัวอย่างเช่น Windows 7 หรือ Ubuntu Linux แทนที่จะใช้แป้นพิมพ์คีย์บอร์ดหรือเมาส์ และเนื่องจากเป็นการรวมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และหน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ของ Intel ทำให้มีคนเรียกกันว่า "Wintel"
ต่อมาในปี 2010 ได้เกิดแท็บเล็ตที่แตกต่างจาก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ขึ้นมาโดยไม่มีการยึดติดกับ Wintel แต่ไปใช้ระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์เคลื่อนที่แทนนั่นก็คือ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆว่า แท็บเล็ต - Tablet" ซึ่งจะใช้หน้าจอแบบ capacitive แทนที่ resistive ทำให้สามารถสัมผัสโดยการใช้นิ้วได้โดยตรงและสัมผัสพร้อมกันทีละหลายจุดได้หรือ multi-touch ประกอบกับการใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM แทนซึ่งสถาปัตยกรรม ARM นี้ทำให้แท็บเล็ตนั้นมีการใช้งานได้ยาวนานกว่าสถาปัตยกรรม x86 ของ Intel หลายๆคนคงจะรู้จักแท็บเล็ตตัวนี้กันเป็นอย่างดีนั้นก็คือ ไอแพด (iPad) นั้นเอง
*ที่มาบทความ tabletd.com

         ความหมายคำว่า Tablet (แท็บเล็ต) ในมุมมองของ อ.จุลชัย จุลเจือ กล่าวไว้ว่า
Tablet PC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่สามารถทำการขีดเขียนบนหน้าจอ
สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางและประชุมอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางและประชุมอยู่ตลอดเวลา Tablet PC จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับบุคคลกลุ่มนี้ รวมทั้งนักศึกษา พนักงานขาย แพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สถาปนิก วิศวกร นักวิจัย ตลอดจนผู้ที่มีอาชีพอื่นๆ ที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานง่าย นำไปในที่ต่างๆ ได้สะดวก
รุ่นฝาหมุนพับได้และรุ่นกระดานชนวน
Tablet PC แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นฝาหมุนพับได้ ซึ่งประกอบด้วยจอภาพขนาดสมุดบันทึก พร้อมด้วยแป้นพิมพ์ในตัวที่สามารถพับปิดเปิดได้เหมือนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และรุ่น "กระดานชนวน" ที่แยกจอภาพออกจากแป้นพิมพ์ โดยสามารถเชื่อมต่อกับแป้นพิมพ์ด้วยแป้นเชื่อมต่อ
ปัจจุบัน Tablet PC ผลิตโดยผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ๆ เช่น Hewlett Packard, Fujitsu, Toshiba และ Acer โดยรันด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP Tablet PC Edition ของไมโครซอฟท์ และคุณไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์พิเศษใดๆ เพิ่มเติม เพราะคุณสามารถนำชุดโปรแกรม Office และโปรแกรมสำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่คุณใช้กับ Windows XP มาใช้กับ Tablet PC ได้

แหล่งที่มา http://www.tablethot.com/topic/182/
สืบค้นวันที่ 14 ก.พ 56

                                                social media

Social ในที่นี้หมายถึง สังคมออนไลน์
Media ในที่นี้หมายถึง เนื้อหา เรื่องราว และบทความ
Social Media จึงหมายถึงสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์  ปัจจุบัน การสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
เนื้อหาของ Social Media โดยทั่วไปเปรียบได้หลายรูปแบบ ทั้ง กระดานความคิดเห็น (Discussion boards), เว็บบล็อค (Weblogs), วิกิ (wikis), Podcasts, รูปภาพ และวิดีโอ  ส่วนเทคโนโลยีที่รองรับเนื้อหาเหล่านี้ก็รวมถึง เว็บบล็อค (Weblogs), เว็บไซต์แชร์รูปภาพ, เว็บไซต์แชร์วิดีโอ, เว็บบอร์ด, อีเมล์, เว็บไซต์แชร์เพลง, Instant Messaging, Tool ที่ให้บริการ Voice over IP เป็นต้น
social-media-image
-

เว็บไซต์ ที่ให้บริการ Social Network หรือ Social Media

Google Group – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking

w_google_group
-

Wikipedia – เว็บไซต์ในรูปแบบข้อมูลอ้างอิง

w_wikipedia
-

MySpace – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking

w_myspace
-

Facebook -เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking

w_facebook
-

MouthShut – เว็บไซต์ในรูปแบบ Product Reviews


w_mouthshut
-

Yelp – เว็บไซต์ในรูปแบบ Product Reviews


w_yelp
-

Youmeo – เว็บที่รวม Social Network


w_youmeo1
-

Last.fm – เว็บเพลงส่วนตัว Personal Music


w_lastfm
-

YouTube – เว็บไซต์ Social Networking และ แชร์วิดีโอ


w_youtube1
-

Avatars United  – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking


w_avatarunited
-

Second Life – เว็บไซต์ในรูปแบบโลกเสมือนจริง Virtual Reality

w_secondlife
-

Flickr – เว็บแชร์รูปภาพ


w_flickr
-
                 บทบาทของ Social network ต่อการจัดการในชั้นเรียน
ด้วยลักษณะสำคัญของ Social network คือ การมีปฏิสัมพันธ์ของคนในระบบเครือข่าย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เมื่อมีปริมาณจำนวนคนในเครือข่ายจำนวนมากจะนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมจริงได้   รูปข้างล่างแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
หากจะจำแนกลักษณะของ Social network ที่ถูกนำเสนอผ่านทาง Social media สามารถสรุปได้ดังนี้คือ
1)      การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือภายในเครือข่าย โดยผู้ใช้สร้างโปรไฟล์ของตนเอง และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เช่น facebook, Myspace เป็นต้น
2)      การเผยแพร่ความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะอยู่ในลักษณะของเว็บบล็อกต่างๆ
3)      การเผยแพร่ข้อความสั้น เช่น twitter เป็นต้น
4)      การเพิ่มเติมข้อมูลความรู้ต่างๆ เช่น เว็บ wikipedia
5)      การเผยแพร่เนื้อหาเฉพาะ การเผยแพร่ภาพ เสียง วีดิโอ เช่น เว็บ youtube , Flickr เป็นต้น
ด้วยความหลากหลายของการเผยแพร่ข้อมูลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก เป็นผลให้มีการนำ Social network ไปใช้ในงานต่างๆ และที่เห็นผลเป็นรูปธรรมมาก เช่น ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของบารัก โอบามา ซึ่งสามารถสร้างกระแสนิยมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายประเทศ เช่น ประเทศซีเรีย อียิปต์ หรือแม้กระทั่งการก่อการจราจลในประเทศอังกฤษ  Social network ถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกันเหตุการน้ำท่วมของประเทศไทย เครือข่ายสังคมออนไลน์ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดย twitter ซึ่งช่วยให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือและผู้ให้ความช่วยเหลือติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว เพียงการใช้แท็ก (tag) ร่วมกัน หรือการเผยแพร่ข้อมูลต่อๆ กันไป
ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในเครือข่ายสังคมออนไลน์หากนำมาสู่การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนย่อมก่อให้เกิดผลสำคัญในหลากหลายลักษณะเช่นกัน เช่น
1) การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในชั้นห้องเรียน เนื่องจากบรรยากาศของเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารผ่านภายมิติความสัมพันธ์ของคนในเครือข่าย ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้งผู้สอนและผู้เรียนเข้าสู่การสร้างความสัมพันธ์ภายในระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็จะนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ในสังคมจริงในทิศทางที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจริง นอกจากนี้ลักษณะการนำเสนอข้อมูล สถานภาพที่เป็นปัจจุบัน ทำให้ทั้งผู้สอนสามารถติดตามพฤติกรรมและประสานข้อมูลได้อย่างทันท่วงที
2) การกระตุ้นให้เกิดการศึกษาค้นคว้า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่กว้างขวาง การตั้งประเด็นแลกเปลี่ยน ข้อสงสัยต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ทำได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือสำหรับผู้สอนในการกระตุ้นผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันผู้สอนสามารถนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและผู้เรียนสามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่อง
3) การส่งเสริมการศึกษาตามความสนใจและความถนัด เครือข่ายสังคมออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของเว็บบล็อกเป็นระบบที่ส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานตามความถนัดและความสนใจของทั้งผู้สอนและผู้เรียน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) การส่งเสริมการบันทึกและการอ่าน การเผยแพร่ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ผ่านรูปแบบของข้อเขียนในหลายลักษณะ เช่น ข้อความสั้นในระบบ twitter ข้อความปานกลางของเว็บ facebook หรือข้อความยาวๆ ของระบบเว็บบล็อก เป็นต้น
ในขณะเดียวกันเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็มีข้อเสียที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนที่อาจจะมีความจำเป็นที่ผู้ปกครองจะต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น
1) การใช้งานเพื่อความบันเทิง เกมมากกว่าการศึกษาค้นคว้า ทั้งนี้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่นใน facebook จะประกอบด้วยเกมต่างๆ มากมาย และส่วนใหญ่ต้องการใช้เวลาในการเล่นที่ต่อเนื่อง
2) ความจำเป็นของอุปกรณ์การสื่อสาร ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายที่ต่อเนื่อง และหากผู้สอนใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการนำเสนอข้อมูลไปยังผู้เรียนเป็นหลักอาจจะก่อให้การไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลของผู้เรียนได้
3) การรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและการขาดวิจารณญาณในการข้อมูล ทั้งนี้เมื่อผู้เรียนเข้าสู่การเรียนรู้ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แหล่งการรับข้อมูลจะไม่สามารถจำกัดไว้เพียงจากผู้สอนเท่านั้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้สอนจะต้องย้ำถึงแนวทางการตรวจสอบข้อมูลให้กับผู้เรียน
4) การขาดวิจารณญาณในการนำเสนอข้อมูล เนื้อหาของผู้เรียน ด้วยความสะดวก รวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ จะพบว่า หลายครั้งทำให้หลายคนขาดความยั่งคิดในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆ และนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมา
แนวปฏิบัติเพื่อการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในชั้นเรียน
เมื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์มีทั้งข้อดีและข้อด้อย แต่เป็นการยากที่ผู้สอนจะปฏิเสธการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้สอนควรมีแนวปฏิบัติสำคัญเพื่อให้การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์มีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้
1)      ควรศึกษาธรรมชาติของระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่จะนำมาใช้อย่างชัดเจน
2)      ควรศึกษาความพร้อมของผู้เรียนในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์
3)      เป็นต้นแบบที่ดีในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์
4)      ติดตามพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด
5)      สร้างเครือข่ายผู้สอนและผู้ปกครองเพื่อประสิทธิภาพของการดูแลผู้เรียนในเครือข่ายสังคมออนไลน์

แหล่งอ้างอิง http://www.marketingoops.com/digital/social-media/what-is-social-media/
สืบค้นวันที่ 14 ก.พ 56


                           

                 Video conference

   
    ความหมายของ Video Conference
      คือระบบการติดต่อสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลภาพ และข้อมูล เสียง ระหว่างจุดต่อจุดหรือจุดต่อหลายๆจุดโดยผ่านระบบสื่อสาร ซึ่งจะเป็นลักษณะของการ
โต้ตอบซึ่งกันและกันแบบสองทางหรือพูดง่ายๆก็คือระบบประชุมทางไกลที่ผสมผสาน
ระหว่างภาพและเสียง ให้เปรียบเสมือนมีการประชุมอยู่ในห้องเดียวกัน

                                                    
    ทำไมต้องใช้ Video Conference
            
  •  ด้านการศึกษา

              แม้แต่ในสถาบันการเรียนการสอนเช่นมหาวิทยาลัยก็ให้ความสำคัญของการเรียนการ
สอนหลายสถาบันมีปัญหาเรื่องขาดแคลนอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโดยผู้สอนไม่จำเป็นต้อง
เดินทางไปสอนถึงสถานศึกษานั้นๆผู้สอนอาจจะอยู่ที่กรุงเทพฯแล้วทำการสอนไปยัง
ต่างจังหวัดได้ซึ่งช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการศึกษาลดภาระค่าใช้จ่าย
ในการเดินทางของสถานศึกษาดังนั้นวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เป็นเทคโนโลยีการสื่อสาร
ข้อมูลทำให้สามารถส่งภาพเสียงได้อย่างรวดเร็วมีแนวโน้มที่จะนำมาแก้ปัญหาต่างๆ
เหล่านี้ได้อย่างดี

  •  ด้านธุรกิจ
           มีการประยุกต์ใช้เพื่อทำการPresentงานระหว่างสาขาที่อยู่ห่างกันทั้งสรุปผลงานของ
แต่ละสาขามายังสาขาใหญ่และยังสามารถประชุมร่วมกันทีละหลายๆสาขาได้ เพื่อทำการ
แก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นของบริษัท ในกรณีที่สาขาเล็ก ๆไม่กล้าตัดสินใจที่จะแก้ไข
ได้เองผู้ร่วมประชุมสามารถโต้ตอบได้อย่างทันทีแม้จะอยู่คนละสถานที่ซึ่งเป็นการลดระยะ
เวลาในการเดินทางมาประชุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวมทั้งความเสี่ยงในการเดินทาง
เพื่อเข้าร่วมประชุม

  •  ด้านการแพทย์

        มีการนำมาใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่งโดยประยุกต์ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์
เพื่อให้การรักษาคนไข้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นแพทย์ที่อยู่ในชนบทสามารถ
ปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะโรคที่อยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆที่อยู่ห่างไกลเพื่อช่วย
ในการวินิจฉัยโรครวมถึงการขอแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์ได้ เช่น แฟ้มประวัติ
คนไข้ ฟิล์มเอ็กซเรย์ การถ่ายทอดภาพในการผ่าตัดเพื่อสอนนักศึกษาแพทย์

   มาตรฐานของระบบ Video Conference
 
  •  มาตรฐาน
     เพื่อให้ระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์มีมาตรฐานที่สามารถทำงานร่วมกันได้กับอุปกรณ์
ของบริษัทต่างๆ ที่ผลิตออกมาทางITU-Tซึ่งเป็นองค์กรด้านโทรคมนาคมสากลจึงได้
กำหนดมาตรฐานระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ เป็น 4 หมวดหลัก ๆ คือ
    H.320เป็นมาตรฐานที่ใช้ในเครือข่ายWANเป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมในครั้ง
แรกๆที่มีการใช้ระบบVCSเนื่องจากรองรับเครือข่ายได้หลายประเภทเช่นISDN
(Intergrated Service Digital Network) Leased Lineรวมทั้งวงจรเช่าอื่นๆ เนื่องจาก
มาตรฐาน H.320 นี้ให้คุณภาพทั้งภาพและเสียงดี อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูง จึงทำให้เป็นที่
นิยม นำมาใช้ในเชิงธุรกิจ ทางด้านการศึกษา
    H.321 และ H.310 เป็นมาตรฐานที่รองรับระบบเครือข่าย ATM เพื่อให้ได้คุณภาพ
ของภาพและเสียงที่ดีที่สุดโดยทั่วไปใช้ในอาคารหรือในหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบัน
ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้กัน
    H.323 เป็นมาตรฐานที่รองรับการใช้งานทั้งเครือข่าย LAN และ WAN โดยมีการ
ส่งผ่านข้อมูลโดยใช้ IP Protocol เป็นหลัก ซึ่งมีคุณภาพที่ดีในระดับเดียวกับ H.320 โดย
มาตรฐานนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายอยู่ในปัจจุบันและมาแทนที่มาตรฐาน H.320 ใน
ปัจจุบันเนื่องจากใช้งานง่าย และปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกันได้เยอะ ทำให้มีการ
นำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย
    H.324 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในเครือข่ายโทรศัพท์ ซึ่งมีคุณภาพค่อน ข้างต่ำจึงไม่ได้
รับความนิยมในปัจจุบัน
  • ความเร็วในการสร้างภาพ

  ความเร็วในการสร้างภาพ หรือ FrameRate คืออัตราจำนวนภาพที่ปรากฏบน
หน้าจอใน 1 วินาที ซึ่งหากมีจำนวนภาพใน1วินาทีมากเท่าไหร่ก็จะทำให้คุณภาพของภาพ
เคลื่อนไหวเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่มีการกระตุกในระบบ Video Conference จะใช้
ความเร็วอยู่ 2 ระดับคือ
    ระดับ 15 ภาพต่อวินาที (15 frame/sec)
    ระดับ 30 ภาพต่อวินาที(30 frame/sec) โดยภาพที่ใช้จำนวน Frame Rate สูง
    ก็ต้องใช้ Bandwidth สูงตามไปด้วย ซึ่งความเร็วระดับ 30 frame/sec ใช้ Bandwidth อย่างต่ำประมาณ 384 Kbps
  • มาตรฐานเสียง

    Narrowbandเป็นคุณภาพของเสียงในระดับเดียวกับเครื่องโทรศัพท์ โดยมีความถี่
อยู่ในช่วง 300 KHz – 3.4 KHz โดยมาตรฐานที่อยู่ในย่านนี้มีดังนี้
    มาตรฐาน G.711 Bandwidth ที่ใช้ 64 Kbps
    มาตรฐาน G.728 Bandwidth ที่ใช้ 16 Kbps
    Wideband คุณภาพเสียงที่ได้มีความชัดเจนกว่า Narrowband ซึ่งมีความถี่อยู่ใน
ช่วง 300 KHz – 7 KHz ทำให้เสียงมีความสดใส และชัดเจนกว่ามาตาฐานในย่านนี้
    Super Wideband เป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้คุณภาพเสียงดีที่สุด โดยมีความถี่สูง
ถึง 14 KHz ทำให้คุณภาพที่ได้รับมีคุณภาพดีเทียบเท่ากับเสียงที่มาจากเครื่องเล่น CD
  • มาตรฐานการบีบอัดข้อมูล

    H.261เป็นมาตรฐานโคเด็กที่ใช้กับความเร็วของสื่อสารขนาดNx64 กิโลบิต
และถ้าเต็มE1(2048)จะได้ภาพเคลื่อนไหวเต็มที่
    H.263เป็นมาตรฐานที่ออกมาทีหลังH.261เพื่อแก้ปัญหาการบีบอัดไฟล์ได้น้อย
ทำให้มาตรฐานH.263มีมาตรฐานในการบีบอัดสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย
ใช้Bandwidth น้อยลง
  •  มาตรฐานของภาพ

โดยปกติแล้วระบบ Video Conference จะมีการสร้างภาพอยู่ 2 ลักษณะคือ
    แบบ FCIF มีความละเอียดต่อจุดที่นำมาประกอบเป็นรูปภาพ 352 X 288 จุด
    แบบ QIF มีความละเอียดต่อจุดที่นำมาประกอบเป็นรูปภาพ 176 X 144 จุด
         ดังนั้นแบบ FCIF และ QCF ซึ่งจะมีขนาดที่ปรากฏอยู่บนจอภาพเท่ากันแต่ความ
ละเอียดจะแตกต่างกัน
*** ซึ่งในปัจจุบัน Video Conference สามารถรองรับความละเอียดสูงสุดในระดับ XGA (1024 X 768) ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดและคมชัดกว่ามาตรฐานทั่วไป

อุปกรณ์ที่สำคัญของ Video Conference
 โคเด็ก (CODEX)
 Codec เป็นคำย่อมาจาก CodeและDecodeเป็นตัวเข้ารหัส
สัญญาณภาพและเสียงที่ได้จากกล้องและไมโครโฟนส่งผ่าน
เส้นทางสื่อสารไปยังอีกฝั่งหนึ่งรวมถึงถอดรหัสสัญญาณที่ได้
รับมาจากอีกฝั่งให้กลับเป็นสัญญาณภาพและเสียงแสดงบนจอ
และลำโพง เส้นทางสื่อสารขนาด 384Kbpsขึ้นไปสามารถให้
คุณภาพในระดับที่ยอมรับโดยหลักการทำงานของCODEC
จะแปลงสัญญาณ อนาล็อคทั้งภาพและเสียงให้เป็นสัญญาณ
ดิจิตอลและจะบีบสัญญาณให้เล็กลงโดยดำเนินข้อมูลภายใน
เฟรมเดียวกัน CODECเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของระบบหลัก
การทำงาน
  • กล้อง
เป็นกล้องทีวีที่ใช้ในการจับภาพผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อ
ส่งเข้า CODEC แปลงและบีบอัดสัญญาณ มีระบบ
เซอร์โวเพื่อควบคุมมาจากระยะไกลให้ปรับมุมเงย
มุมก้มส่วนซ้ายขวา และซูมภาพได้ ปกติจะมาพร้อม
ชุดอุปกรณ์ Codec
  • จอภาพ
 แสดงภาพของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งจากระบบต้น
ทางและปลายทางเป็นจอภาพที่ใช้กับระบบ
PAL
หรือTSCภาพที่ปรากฏมีระบบรวมสัญญาณเพื่อแบ่ง
จอภาพเป็นจอเล็ก ๆเพื่อดูปลายทางแต่ละด้าน
หรือดูภาพของตนเองระบบจอภาพอาจขยายเป็น
จอใหญ่ขนาดหลายร้อยนิ้วก็ได้
  • ไมโครโฟน (Microphone)
ทำหน้าที่รับเสียงจากผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อส่ง
ไปยังระบบเสียงปลายทาง
  • แป้นควบคุม (Control Key Pad)
แป้นควบคุมทำหน้าที่ควบคุมกล้องเสียงและเลือกส่งภาพจากแหล่งต่างๆไปยังระบบปลายทาง เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับการควบคุมระบบ เช่น ควบคุมการปรับมุมกล้องที่ปลายทางระยะห่างไกล การเลือกการติดต่อปลายทาง การปรับเสียง ปรับระบบสื่อสารต่าง

หลักการทำงานของ Video Conference
  • หลักการทำงานมีวิธีการอย่างไร ?

1. เชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงอุปกรณ์ทั้งหมดให้เรียบร้อย ได้แก่ Codec Network
กล้องเสริม,จอโทรทัศน์, Projector, เครื่องนำเสนอ, Computer, เครื่องบันทึก,             ระบบเสียงชุดประชุม (ตามความต้องการใช้งาน)2. เชื่อมต่อ Codec เข้ากับระบบ Network เพื่อ Config IP ให้กับ Codec
3. ทดสอบการแสดงผลของภาพและเสียงในฝั่งของตนเองให้ถูกต้อง เมื่อติดตั้งและ
ทดสอบเรียบร้อยแล้วก็ให้ทำการติดต่อกับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อทำการทดสอบ
Conference    ระหว่างวิทยาเขตต่อไปหลักในการจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ระบบการประชุมทางไกล
       ตัวอย่างการประชุมสายโทรศัพท์

จากภาพข้างบนหลักการทำงานของการประชุมสายโทรศัพท์
1.ผู้ประชุมสายและผู้ร่วมสนทนาจะต้องทราบหมายเลขต้นทางและปลายทางของ
ทั้งสองฝ่าย
2. จากนั้น A โทรออกไปหา B เมื่อ B รับโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่สนทนา
กันอยู่นั้น C โทรเข้ามาหา A จากนั้น A จะทำการประชุมสาย โดยเลือกเมนู >> เลือก
ประชุมสาย เมื่อประชุมสายแล้ว A , B และ C สามารถสนทนาคุยกันได้ โดยผ่าน
ทางโทรศัพท์
3. เมื่อต้องการเพิ่มผู้สนทนา A ทำการโทรออกไปยัง D จากนั้นเมื่อ D รับสาย A
เลือกประชุมสาย จากนั้นเมื่อ C ไม่ต้องการคุยแล้ว C สามารถกดวางสายได้ แต่
ผู้สนทนาคนอื่นๆ ยังสามารถประชุมสายกันได้
ตัวอย่างแผนภาพการเชื่อมต่อ Video Conference
        
        จากภาพข้างบนหลักการทำงานของการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์
ขั้นตอนการทำงานเริ่มจากติดตั้งชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย กล้องคอนเฟอร์เรนซ์ , Codec, Microphone , ลำโพง,จอภาพ เป็นการต่ออุปกรณ์ของยี่ห้องโพลีคอมที่มีคุณสมบัติเฉพาะ
สามารถประชุมกันได้ 4 ที่ โดยไม่ต้องผ่าน MCUซึ่งจากภาพยกตัวอย่างการประชุม
คอนเฟอร์เรนซ์ส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) ไปยังต่างจังหวัดทั้งหมด 3 จังหวัดซึ่งแต่ละจังหวัด
จะมีหมายเลขไอพีสาธารณะ (public IP)โดยการทำงานของคอนเฟอร์เรนซ์    เริ่มจาก
ส่วนกลางเป็นเจ้าภาพในการประชุม จากนั้นทั้ง 3 จังหวัด จะทำการ call เข้ามาที่ส่วนกลาง
เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์โคเด็ก ซึ่งแต่ละsiteจะมีโคเด็กเป็นตัวรับและส่งหรือเข้ารหัสและถอด
รหัส ผ่านช่องสัญญาณ ADSL ซึ่งแต่ละsite จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านหมายเลขไอพี เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อกันแล้วจะสามารถสนทนากันได้
       ตัวอย่างแผนภาพการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ผ่าน MCU
      
     จากภาพข้างบนหลักการทำงานของการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ผ่าน MCU
      ขั้นตอนการทำงานเริ่มจากติดตั้งชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย กล้องคอนเฟอร์เรนซ์ , Codec, Microphone,ลำโพง,จอภาพเป็นการต่ออุปกรณ์ของยี่ห้องโพลีคอมผ่านอุปกรณ์ MCUสามารถรองรับการประชุมได้หลายจุดซึ่งจากภาพยกตัวอย่างการประชุมคอนเฟอร์
เรนซ์ ส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) ไปยังต่างจังหวัดทั้งหมด 4 จังหวัดซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีหมาย
เลขไอพีสาธารณะ (public IP) โดยการทำงานของคอนเฟอร์เรนซ์เริ่มจากโคเด็กเชื่อมต่อ
หมายเลขไอพีกับ MCU(Multipoint Control Unit(MCU) เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่รวบรวม,
ประมวลผลและควบคุมการประชุมที่มากกว่า 2 การประชุมขึ้นไปอุปกรณ์ชนิดนี้มีทั้งแบบ
ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ MCU ที่ใช้ Software base จะทำงานบนระบบ
ปฏิบัติการวินโดว์NT/2000 server,Unix และ Linux) และต่อ Notebook เข้ากับ MCU เพื่อใช้ Control การทำงานทั้งหมดจากนั้นทุก site จะทำการ call เข้ามาที่ส่วนกลาง
โดยผ่านช่องสัญญาณ ADSL โดยมี H.323 เป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณ์ Video conference Over IP สามารถคุยกับอุปกรณ์ Video Conference Over ISDN จากนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ control จะทำการเชื่อมต่อทุก site ให้ทำงาน

ข้อดี - ข้อเสีย
  • ข้อดีของ Video Conference

1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากที่ต่าง ๆ เพื่อมาประชุมหรืออบรม 2. สามารถทำการประชุมเพื่อวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว 3.สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลสามารถ
ร่วมเรียนด้วยได้
4. สามารถลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางได้
  • ข้อเสียของ Video Conference

1. เกิดการผิดพลาดในการส่งสัญญาณได้ง่าย ซึ่งปรากฏการธรรมชาติก็สามารถ
ทำให้สัญญาณล่มหรือหายได้
2. การรับ-ส่งสัญญาณต้องมีอุปกรณ์ที่พร้อมและมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน
แหล่งอ้างอิง http://www.klongsiam.com/18.2/53631163/v_dee.html
สืบค้นวันที่ 14 ก.พ 56


                                                         WebQuest

WebQuest : บทเรียนแสวงรู้บนเว็บ


          WebQuest   คือ  บทเรียนการแสวงรู้บนเว็บ ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบของสื่อการเรียนรู้ประเภทหนึ่งที่เบอร์นี่ ด็อจ (Bernie Dodge) แห่ง San Diego State University สหรัฐอเมริกาได้คิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะขั้นสูงในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ  ที่มีอยู่บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยกิจกรรมบนบทเรียนเป็นตัวเร้าความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้และต้องการสืบเสาะค้นหาข้อมูล ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในรูปแบบของการตั้งสมมติฐานและสมมติสถานการณ์   โดยการเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าต่อเนื่องไปได้ไม่รู้จบ ตามความสนใจของผู้เรียน แต่ละคน ช่วยให้ผู้เรียนสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับกิจกรรม  นอกจากนี้ได้มีผู้ให้คำนิยามรวมถึงความหมายของบทเรียนการแสวงรู้บนเว็บ (WebQuest) ไว้ซึ่งสามารถสรุปได้คือ เป็นการใช้แหล่งความรู้ที่มีอยู่มากมายบนระบบอินเทอร์เน็ตมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยผู้สอนในรูปแบบของกิจกรรมและสมมติฐานโดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้มาบูรณาการฝึกนิสัย  และทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากระบวนการทำงานกลุ่มและการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ บนระบบอินเตอร์เน็ต  (Dodge, 1995 ; Owen, 1999 และวสันต์ อติศัพท์, 2546)  รูปแบบการเรียนด้วยบทเรียนการแสวงรู้บนเว็บนี้ ยังจะช่วยเพิ่มคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียนทั้งด้านการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning) และการเรียนแบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method) ซึ่งผู้เรียนจะต้องนำความรู้ที่ได้จากการสืบค้นมาวิเคราะห์ซึ่งเป็นจุดหลักที่สำคัญของการศึกษาในปัจจุบันที่ไม่เน้นให้ผู้เรียนท่องจำแต่เน้นความเข้าใจ สามารถนำความรู้ที่ได้มาบูรณาการและวิเคราะห์ออกมาเป็นความรู้ของตนเองหรือที่เรียกว่า การสร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนเอง (Yates ,2003 ในชาคริต อนันตวัฒนวงศ์, 2549) กล่าวว่า เว็บเควสท์ (WebQuest)  เป็นการให้ประสบการณ์โดยตรงแก่ผู้เรียน โดยครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง แล้วให้ผู้เรียนเข้าหาข้อมูล เนื้อหาที่สอดคล้องกับประสบการณ์การเรียนรู้นั้นๆ  วสันต์ (2547) ได้ให้นิยามของ WebQuest ว่า คือกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงหาความรู้ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐานในการปฏิสัมพันธ์ กับผู้เรียนบนแหล่งต่างๆในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต   WebQuest  เน้นการใช้สารสนเทศ มากกว่าการแสวงหาสารสนเทศ สนับสนุนผู้เรียนในขั้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่า  ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้จินตนาการ และทักษะการแก้ปัญหา  โดยผู้เรียนจะต้องค้นพบคำตอบและสร้างสรรค์ด้วยตนเอง  ผ่านทางเว็บไซต์ ที่ครูผู้สอนเสนอแนะอย่างมีความหมาย  Lasley, Matczynski, & Rowley (2002)     กล่าวว่า WebQuest  คือวิถีทางในการแสวงหาความรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน กิจกรรมกลุ่มนี้จะให้ผู้เรียนร่วมกันเข้าใจถึงเนื้อหาต่างๆพัฒนากระบวนการ ในการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่ม    อีกทั้งยังนำข้อมูลพื้นฐานที่ครูผู้สอนแนะนำจากแหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ได้   Peterson, et. al. (2003)    กล่าวว่า  WebQuest เป็นกลุ่มของข้อปัญหาและงานต่างๆ ให้ผู้เรียนได้พยายามเข้าศึกษาข้อมูล เนื้อหาต่างๆ และยังเป็นการชี้แนะให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลตามที่ครูผู้สอนได้เจาะจงแหล่งข้อมูล เว็บต่างๆ    ซึ่งสนับสนุนการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือการเรียนร่วมกัน (Teams in a Class)   March (2004)  กล่าวถึง WebQuest ว่าเป็นการจัดโครงสร้างในการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็นโครงร่าง  (Scaffolded  Learning Structure)  โดยใช้ตัวเชื่อมโยง (Link) ไปยังแหล่งต่างๆ บนเครือข่ายเว็บทั่วโลก (World Wide Web) และมีงานต่างๆ ชักชวนให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบ จากข้อคำถามนั้นๆ พัฒนาทักษะเฉพาะ และโต้ตอบกับกระบวนการของกลุ่ม ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลใหม่ๆ ไปใช้แก้ปัญหาได้ด้วยความเข้าใจ   (วสันต์  อติศัพท์,   2546)
             ดังนั้นอาจสรุปคำจำกัดความของ เว็บเควสท์ (WebQuest)  ได้ว่าเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงหาความรู้   โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐาน  ครูผู้สอนหรือผู้ออกแบบ บทเรียนไม่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นผู้จัดกลุ่ม เรียบเรียง และลำดับความรู้ต่างๆ ให้อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้เข้าถึงความรู้นั้นๆ  อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน โดยมุ่งการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ  ลักษณะของ WebQuest ที่สำคัญคือ  แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหา เป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนต้องหรือควรจะศึกษาไม่ได้มุ่งแสดงเนื้อหารายละเอียดของความรู้นั้นๆ ที่ชี้ชัดลงไปโดยตรง ดังเช่นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทั่วๆ ไปที่ผู้ออกแบบได้ระบุเนื้อหาเฉพาะเพียงกรอบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการเท่านั้น วิธีการของ WebQuest ในการเข้าสู่เนื้อหาความรู้ต่างๆ ได้โดยใช้ตัวเชื่อมโยง บนหน้าเว็บเพจหลัก ของกรอบโครงสร้างเนื้อหาหลัก   ที่ผู้ออกแบบจัดกลุ่ม เรียบเรียงและลำดับ     เชื่อมโยงไปยังแหล่งความรู้อื่นๆ ในเว็บไซต์อื่น ที่ผู้สอนหรือผู้ออกแบบพิจารณาเห็นว่า   มีเนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ให้เกิดแก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ
ด้วยคุณลักษณะบทเรียนแบบ WebQuest  ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือก และย่อยองค์ความรู้ต่างๆ  รวมถึงจับกลุ่มผู้เรียนด้วยกันได้อย่างอิสระ สอดคล้องกับความต้องการความสามารถ ทางสติปัญญา ทั้งของตนเองและของกลุ่มได้ สนับสนุนผู้เรียนในขั้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่า ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้จินตนาการและทักษะการแก้ปัญหา โดยผู้เรียนจะต้องค้นพบคำตอบและสร้างสรรค์ด้วยตนเอง ผ่านทางเว็บไซต์ที่ครูผู้สอนเสนอแนะอย่างมีความหมาย

            ตัวอย่าง WebQuest  ในประเทศไทย
            เรื่อง  การพัฒนาบทเรียนแสวงรู้บนเว็บ หน่วย มนุษย์กับสภาวะแวดล้อม และทรัพยากร ธรรมชาติ สำหรับนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 4 (วริพัสย์ แก้ฉาย ,2549)http://www.keereerat.ac.th/webQuest/webquest_2/web/intro.html  
 
 
 
แหล่งอ้างอิง   http://www.blog.prachyanun.com/view.php?article_id=112
สืบค้นวันที่ 14 ก.พ 56

                            
                           E-Book
ความหมายของ e-Book
e-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึงหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์ และออนไลน์
คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป

โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book
โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book มีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
1. โปรแกรมชุด Flip Album

2. โปรแกรม DeskTop Author

3. โปรแกรม Flash Album Deluxe

ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ ประกอบด้วย
1. โปรแกรมชุด Flip Album ตัวอ่านคือ Flip Viewer


2. โปรแกรมชุด DeskTop Author ตัวอ่านคือ DNL Reader


3. โปรแกรมชุด Flash Album Deluxe ตัวอ่านคือ Flash Player


การติดตั้งโปรแกรม Flip Album 6.0 Pro
การติดตั้งโปรแกรม Flip Album 6.0 Pro มีวิธีการดังนี้
ขั้นตอนที่  1  ใส่แผ่นโปรแกรมใน CD Rom ของเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้ว Double Click ที่ Setup.exe  เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม

ขั้นตอนที่ 2  กดปุ่ม Next > จะแสดง License Agreement  ดังรูป
ขั้นตอนที่ 3 อ่านข้อตกลงต่าง ๆ  และเลือก I accept  the terms in the license agreement กดปุ่ม Next > จะแสดงหน้าต่างการเลือกประเภทการติดตั้ง
ขั้นตอนที่ 4  เลือก complete เพื่อการติดตั้งโปรแกรมและเลือก Next >และกดปุ่ม Install เพื่อติดตั้งโปรแกรม

ขั้นตอนที่ 5  โปรแกรมจะแสดงหน้าต่าง Install Shield Wizard Completed และเลือกปุ่ม Finish

ส่วนประกอบของโปรแกรม Flip Album 6.0 Pro

 












การสร้างหน้ากระดาษ
การสร้างหน้ากระดาษ e-Book
    • คลิกที่ Edit ที่แถบ Menu Bar
    • คลิกที่คำว่า Insert Page
         เราสามารถเพิ่มหน้าหนังสือ ครั้งละ 1 หน้า หรือหลายสิบหน้าก็ได้ เช่น
         เพิ่มหน้าด้านซ้ายให้คลิกเมาส์ที่คำว่า Left Page
         เพิ่มหน้าด้านขวาให้คลิกเมาส์ที่คำว่า Right Page
         เพิ่มหน้าครั้งละหลายหน้าหรือหลายสิบหน้าให้คลิกที่คำว่า Multiple Pages
         เพิ่มหน้า Overview pages ให้คลิกเมาส์ที่คำว่า Overview pages
         เพิ่มหน้าสารบัญให้คลิกเมาส์ที่คำว่า Contents pages
         เพิ่มหน้าดัชนีให้คลิกเมาส์ที่คำว่า Index pages

    การเพิ่มหน้าหนังสือแบบหลาย ๆ หน้า
      • คลิกที่ Edit ที่แถบ Menu Bar
      • คลิกที่คำว่า Insert Page
      • เลือก Multiple Pages ซึ่งจะปรากฏ Dialog box ดังนี้
      เพิ่มจำนวนหน้าหนังสือที่เราต้องการลงในช่อง Number of pages ยกตัวอย่างเช่น เราจะเพิ่มหน้าหนังสือจำนวน 5 หน้า ทำได้โดยใส่หมายเลข 5 ลงในช่อง Number of pages จากนั้นคลิกที่ OK จะได้หน้าต่างดังนี้

      การใส่ภาพกราฟิก
      การใส่ภาพกราฟิก
        • คลิกที่ Edit ที่แถบ Menu Bar
        • คลิกที่คำว่า Insert Clip Art…
        การจัดมุมองศาของภาพกราฟิก
        • คลิกเลือกรูปภาพที่ต้องการ
        • เลือก Rotate
        - ถ้าต้องการหมุนภาพไปทางซ้าย 90 องศา คลิกที่ Left by 90°
        - ถ้าต้องการหมุนภาพไปทางขวา 90 องศา คลิกที่ Right by 90°
        - ถ้าต้องการหมุนภาพ 180 องศา คลิกที่ by 180°
        - ถ้าต้องการหมุนภาพโดยกำหนดเอง คลิกที่ by other angle

        การตกแต่งภาพกราฟิกด้วยเทคนิคพิเศษ

        การทำภาพ 3 มิติ มีวิธีการดังนี้
        1. คลิกที่ภาพที่ต้องการทำ
        2. คลิกเมาส์ขวา
        3. เลือก Efficts
        4. เลือก 3D
        การแรเงาภาพ ทำได้ดังนี้
        1. คลิกที่ภาพที่ต้องการทำ
        2. คลิกเมาส์ขวา
        3. เลือก Efficts
        4. เลือก Shadow
        การทำภาพเป็นรูปร่างต่าง ๆ มีวิธีการดังนี้
        1. คลิกที่ภาพที่ต้องการทำ
        2. คลิกเมาส์ขวา
        3. เลือก Efficts
        4. เลือก Select Crop Shape
        การใส่กรอบภาพแบบต่าง ๆ
        1. คลิกที่ภาพที่ต้องการทำ
        2. คลิกเมาส์ขวา
        3. เลือก Efficts
        4. เลือก add/Edit Frame


      การใส่เสียง
      1. เลือก Edit ที่ Menu Bar
      2. Insert Multi Media Object


       

      การเปลี่ยน Contents เป็นภาษาไทย
      การเปลี่ยน Contents เป็นภาษาไทย
      1. คลิก Edit ที่ Menu Bar
      2. เลือก Customize Contents...
      3. เลือก Modify ...
      4. เปลี่ยน Contents เป็น สารบัญ


ขั้นตอนการสร้าง e-Book
    • คลิก File ที่แถบ Menu Bar
    • คลิกที่คำว่า New Book
    หนังสือดังกล่าวจะมีเพียง 2 หน้า คือ หน้าแรก และหน้าสุดท้าย ส่วนหน้าอื่น ๆ ผู้สร้างสรรค์สามารถเพิ่มจำนวนหน้าได้ตามที่ต้องการ

    การใส่ข้อความ
    ขณะนี้เราสามารถสร้าง e-Book ที่มีหน้าเปล่า ๆ ได้แล้ว แต่ก็ยังขาดภาพปก เนื้อหา ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหวและอื่น ๆ ที่เราสามารถสร้างสรรค์ลงในหนังสือให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้
    การพิมพ์ข้อความ
      1. คลิกที่ Edit ที่แถบ Menu Bar
      2. คลิกที่คำว่า Insert Anotations
      3. ซึ่งจะปรากฏ Dialog box ดังนี้
           เลือก Left Page หรือ Right Page เพื่อพิมพ์ข้อความ
      พิมพ์ข้อความต่าง ๆ ลงในช่องสี่เหลี่ยมที่ปรากฏขึ้น โดยสามารถปรับลักษณะของตัวอักษรได้จากเครื่องมือที่ปรากฏ ดังนี้
      การนำเข้าข้อความจาก Microsoft Word
      1. เปิดงานจากโปรแกรม Microsoft Word
      2. เลือกข้อความที่ต้องการ
      3. คลิกเมาส์ขวา เลือก Copy
      4. เปิดโปรแกรม Flip Album 6.0 Pro
      5. คลิก วาง
      6. ปรับขนาดตามความต้องการ

     
การใส่สันหนังสือ
การใส่สันหนังสือ e-Book
    • คลิก Option ที่แถบ Menu Bar
    • คลิกที่คำว่า Book Binder

การ Create Album CD
การ Create Album CD
1. คลิก CD Maker ที่ Menu Bar
2. เลือก Create Album CD


 
แหล่งอ้างอิง http://www.srb1.go.th/anuban/e_book/albumcd.htm 
สืบค้นวันที่ 14 ก.พ 56